Information

15 November BE 2563

Basic shortcuts

Ctrl + SSave subtitles
Ctrl + click
Double click
Edit highlighted caption
TabEdit next caption
Shift + TabEdit previous caption
EscLeave edit mode
Ctrl + SpacePlay / pause video
Ctrl + HomePlay selected caption
Ctrl + EnterSplit caption at cursor position
at current time

Advanced shortcuts

Ctrl + InsertAdd new caption
Ctrl + DeleteDelete selected caption
Ctrl + IEdit currently played segment
Shift + EnterNew line when editing
Ctrl + LeftPlay from -1s
Ctrl + RightPlay from +1s
Alt + LeftShift caption start time -0.1s
Alt + RightShift caption start time +0.1s
Alt + DownShift caption end time -0.1s
Alt + UpShift caption end time +0.1s

Annotation shortcuts

Ctrl + 1Hesitation
Ctrl + 2Speaker noise
Ctrl + 3Background noise
Ctrl + 4Unknown word
Ctrl + 5Wrong segment
Ctrl + 6Crosstalk segment
You are in the read-only mode. Close
00:07.0
00:12.4
สวัสดี ยินดีต้อนรับเข้าสู่ช่อง Philosophy Vibe เว็บไซต์ที่พวกเราสามาถกแนวคิดทางปรัชญาต่างๆได้
00:13.8
00:18.4
วันนี้พวกเรากําลังจะมองย้อนกลับไปยังความรู้เกี่ยวกับการถกเถียงเรื่องโลกภายนอกและเน้นเรื่องจิตนิยม
00:18.5
00:26.8
จิตนิยมเป็นทฤษฎีที่ได้รับการส่งเสริมโดยนักปรัชญาจอร์จบาร์คลี ผู้อ้างเหตุผลในการปฏิเสธเรื่องสสาร
00:26.9
00:36.3
บาร์คลี่เชื่อว่าความเป็นจริงนั้นเป็นเพียงชุดของมโนภาพในจิต เขาอธิบายว่า "ESSE EST PERCIPI" การมีอยู้คือการรับรู้
00:36.4
00:44.2
หมายความว่าไม่มีอะไรดํารงอยู่ในโลกทางกายภาพนอกจิตของเรา ความเป็นจริงทั้งหมดมีแต่มโนภาพที่เรารับรู้ได้
00:44.3
00:48.7
ว้าว นั่นค่อนข้างจะเป็นทฤษฎีที่สุดโต่งทีเดียวนะครับ อะไรทําให้บาร์คลีย์เชื่อแบบนั้น
00:48.8
00:53.9
เอาล่ะ อย่างแรกเลย บาร์คลีย์ปฏิเสธวิธีการแบบสัจนิยม คุณจําได้ไหม
00:54.0
01:06.1
จําได้ครับ มันเป็นทฤษฎีที่เราสามารถรับรู้ภายนอกได้โดยตรงว่าเป็นอย่างไร สิ่งที่เราเห็นและพบเจอก็เหมือนกับจิตของเรา เช่นเดียวกับโลกภายนอก
01:06.2
01:17.4
ใช่เลยครับ บาร์คลีย์ปฏิเสธแนวคิดนี้แล้วค่อยๆใช้คุณสมบัติปฐมภูมิและทุติยภูมิของจอห์นล็อคเพื่อสนับสนุนข้อโต้แย้งนี้
01:17.5
01:27.2
ถ้าคุณยังจําได้ จอห์นล็อคใช้วิธีการทางสัจนิยมทางอ้อมกับโลกแห่งความเป็นจริง ด้วยเน้นไปที่ความเป็นจริงจํานวนมากดํารงอยู่ในจิตไม่ใช่โลกภายนอก
01:27.3
01:38.5
รสหวานของคนหนึ่งอาจเป็นรสขมสําหรับอีกคนหนึ่ง หรือมือร้อนจุ่มลงไปในนํ้าก็จะรู้สึกเย็น หรือมือเย็นจุ่มลงไปในนํ้าก็จะรู้สึกร้อน
01:38.6
01:50.2
ถ้าคุณสมบัติเหล่านี้มีจริงในวัตถุกายภาพมันย่อมคงที่อยู่เสมอ ดูเหมือนว่า คุณสมบัติเหล่านี้แท้จริงขึ้นอยู่กับจิต และมีอยู่ในฐานะมโนภาพในจิตเท่านั้ืน
01:50.3
02:02.5
ครับ ผมจําได้ อย่างไรก็ตามจอห์นล็อคใช้ข้อพิสูจน์นี้ต่อต้านสัจนิยมทางตรง แต่ในฐานะที่เป็นนักสัจนิยมทางอ้อม จอห์นล็อคยังเชื่อในโลกภายนอกที่อยู่นอกจิตของเรา
02:02.6
02:14.4
หรือคุณสมบัติปฐมภูมิว่าที่ทําให้เกิดมโนภาพ หรือคุณสมบัติทุติยภูมิในจิตของเรา แล้วบาร์คลีย์ปฏิเสธการมีอยู่ของโลกภายนอกได้อย่างไร
02:14.5
02:26.0
เอาล่ะ บาร์คลีย์มีเหตุผลที่ดีที่จะยึดมั่นในแนวคิดนี้ต่อไป และบอกว่าแท้จริงเราไม่สามารถแยกโลกภายนอกกับมโนจิตที่เรารับรู้ได้
02:26.1
02:33.3
การอ้างเหตุผลหลักของจอห์นล็อคที่ใช้สนับสนุนสัจนิยมทางอ้อมก็คือคุณสมบัติทุติยภูมิจะปรากฏแตกต่างกันกับเวลาที่ต่างกันและผู้คนที่ต่างกัน
02:33.4
02:39.4
สีสามารถเปลี่ยนไปในแสงที่แตกต่างกัน รสชาติก็สามารถแตกต่างกันไปแล้วแต่ผู้คน เป็นต้น
02:39.5
02:48.3
สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเพียงมโนภาพในจิตเท่านั้น แต่ล็อคอ้างว่าการกินพื้นที่ของวัตถุและรูปทรงนั้นดํารงอยู่ในโลกภายนอก
02:48.4
03:00.6
อย่างไรก็ตามส่วนการกินพื้นที่ของวัตถุเองก็เจอกับการอ้างเหตุผลแบบเดียวกัน ทําไมตึกหลังหนึ่งมองจากทางหนึ่งสูง แต่มองจากอีกทางหนึ่งกลับเล็ก มันควรถูกรับรู้ว่ามีขนาดไหนกันแน่
03:00.7
03:11.4
ดังนั้น ถ้าคุณสมบัติปฐมภูมินําไปสู่การเปลี่ยนแปลงก็ควรจะจัดให้อยู่ในหมวดเดียวกันกับคุณสมบัติทุติยภูมิ และควรจะจัดเป็นมโนภาพที่ขึ้นอยู่กับจิตด้วยใช่ไหม
03:11.5
03:13.1
ใช่ ผมเข้าใจแล้ว
03:13.2
03:30.2
บาร์คลีย์ใช้กฎแห่งความคล้ายคลึงโต้เถียงสัจนิยมทางอ้อม เขาอ้างว่าไม่ว่าคุณจะเชื่อในโลกภายนอกหรือไม่ก็ตาม เราก็รู้ดีว่าเราเพียงรับรู้กลุ่มก้อนมโนภาพของความเป็นจริงเท่านั้น ไม่ใช่การรับรู้ความจริงโดยตรง
03:30.3
03:45.5
อย่างไรก็ตาม ถึงเราจะรับรู้มโนภาพของเราโดยตรงแต่มโนภาพก็เป็นได้เพียงมโนภาพ เหมือนกับการหินพื้นที่และรูปทรงก็เป็นได้เพียงการกินพื้นที่กับรูปกับเหมือนกับมโนภาพ
03:45.6
03:56.2
ถ้ามโนภาพเป็นได้เพียมโนภาพแล้วเรารับรู้ได้เพียงมโนภาพของเราเอง ถ้าอย่างนั้นมโนภาพจะมาจากวัตถุทางกายภาพจริงๆภายนอกได้อย่างไร
03:56.3
03:57.6
อืม โอเคครับ
03:57.7
04:12.8
แล้วบาร์คลีย์ก็ใช้ข้อโต้เถียงหลักตอกย้ำทฤษฎีการปฏิเสธสสารและสนับสนุนว่าความเป็นจริงอยู่ในจิตของเราเท่านั้น บาร์คลีย์อ้างเหตุผลว่าการมีอยู่ของโลกภายนอกนั้นเป็นเรื่องเข้าใจไม่ได้
04:12.9
04:25.9
เขาให้เราลองจินตนาการวัตถุหนึ่งขึ้นมา สมมุติว่าเป็นต้นไม้ในสวน จินตนาการว่าวัตถุนี้คงอยู่โดยที่ไม่ถูกรับรู้ คุณจินตนาการถึงอะไร ต้นไม้ต้นใหญ่ในสวนโล่งอย่างนั้นหรือ จริงๆแล้วตัวคุณเองนั้นแหละที่รับรู้มัน
04:26.0
04:45.3
คนๆหนึ่งสามารถรับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่คงอยู่ในโลกภายนอกนอกเหนือจากในจิตเพราะคุณรับรู้มัน มันถูกรับรู้ในฐานะมโนภาพหนึ่งในจิตของคุณ ดังนั้นเราไม่อาจจะเข้าถึงหรือเข้าใจโลกของวัตถุอยู่นอกจิตของเรา
04:45.4
04:54.4
บาร์คลีย์ได้เสนอการอ้างเหตุผลที่ดีมากๆสำหรับแนวความคิดจิตนิยม แต่ว่าโลกไร้วัตถุที่มีอยู่แต่ในจิตของเราก็ดูเหมือนจะขัดแย้งกับสามัญสำนึกเลยนะครับ
04:54.5
04:55.9
ทําไมล่ะครับ
04:56.0
05:05.0
สมมุตินะครับว่าไม่มีโลกกายภาพ แล้วทำไมความเป็นจริงจึงยังคงเส้นคงวา พอผมเดินเข้าห้องของผม หัวของผมก็มีภาพห้องที่เต็มไปด้วยข้าวของผม
05:05.1
05:15.0
พอผมออกไปข้างนอกซักสองสามชั่วโมงแล้วกลับมาใหม่ มันก็ยังเป็นเหมือนเดิมของชิ้นเดิมสีแบบเดิมตรงที่เดิมแล้วก็ขนาดเดิมด้วย
05:15.1
05:23.4
ถ้ามันไม่มีสิ่งที่เรียกว่าโลกกายภาพที่เป็นที่มาของมโนภาพในจิตผม แล้วเราจะอธิบายถึงความเป็นปกติที่เรารับรู้ได้อย่างไร
05:23.5
05:34.2
ทุกๆวันเตียงของผมก็สีเดิมขนาดเดิม ผมจะมีความคิดปกติแบบนี้ได้อย่างไรถ้ามันไม่มีโครงสร้างกายภาพของเตียงในโลกภายนอกที่สร้างมโนภาพพวกนี้ขึ้นมา
05:34.3
05:35.4
โอเคครับ
05:35.5
05:42.9
แล้วไม่ใช่แค่ความเป็นปกติเท่านั้น แต่รวมไปถึงความสืบเนื่องกัน ถ้าผมจุดเทียนในห้องแล้วออกไปข้างนอกซักสองสามชั่วโมง
05:43.0
06:02.0
พอผมกลับมาเทียนไขก็ละลายไปแล้ว ถ้ามันไม่มีกายภาพของเทียนไขในโลกภายนอก แล้วผมไม่อยู่รับรู้ภาพความคิดเทียนไขที่กำลังละลาย แล้วการมีอยู่จะมีความสืบเนื่องแม้กระทั่งตอนที่ไม่มีจิตคอยรับรู้ได้อย่างไร
06:02.1
06:13.1
อันที่จริงแล้วบาร์คลีย์ได้ตอบคำถามข้อปฏิเสธทั้งสองข้อไปแล้ว เห็นมั้ย คุณกำลังลืมจิตที่ทรงพลังที่สุดซึ่งดำรงอยู่จริงและเป็นจิตที่คอยธำรงความจริงที่เรารับรู้
06:13.2
06:14.5
แล้วสิ่งนั้นคืออะไรครับ
06:14.6
06:27.8
พระเจ้าไงล่ะ บาร์คลีย์อ้างถึงพระเจ้าผู้สร้างกฎแห่งธรรมชาติเพื่อให้จิตของเรารับรู้ พระเจ้ารักษาความจริงทางจิตของเราให้เป็นปกติ
06:27.9
06:41.9
ดังนั้นคืนนี้ตอนคุณกลับไปห้องนอน เตียงของคุณก็จะเป็นสีเดิม รูปทรงเดิม แล้วก็อยู่ที่เดิมแม้ว่าจะไม่มีจิตอยู่รับรู้มัน ความสืบเนื่องคงอยู่เพราะพระจิตของพระเจ้ายังอยู่รับรู้
06:42.0
06:53.7
โดยพื้นฐานแล้วความเป็นจริงถูกสร้างขึ้นมาและอยู่ในพระจิตของพระเจ้า ดังนั้นพอคุณออกจากห้องนอนหลังจากที่จุดเทียนแล้ว พระจิตของพระเจ้าก็ยังปรากฏอยู่รับรู้การเผาไหม้ของเทียนไขต่อไป
06:53.8
06:57.9
อย่างนี้นี่เอง แต่ผมยังมีข้อโต้แย้งอีกอย่างหนึ่ง
06:58.0
07:05.8
ถ้าความเป็นจริงเป็นเพียงมโนภาพที่ขึ้อยู่กับจิต แล้วเราจะแยกความฝันหรือภาพหลอนออกจากความจริงได้อย่างไร
07:05.9
07:18.0
เรารับรู้ความฝันและภาพหลอนในจิตของเรา ถ้าเรายึดในตรรกะของบาร์คลีย์ ความฝันและภาพหลอนก็ต้องเป็นจริง แต่เรารู้ว่ามันไม่จริง ถ้าอย่างนั้นเราต้องคิดยังไงกับมันกันแน่
07:18.1
07:25.2
เรายังสามารถแยกความจริงออกจากภาพหลอนและความฝันได้ ของจริงๆ ในความเป็นจริงที่ยังไม่จบกระบวนการนั้นมีความเป็นปกติ
07:25.3
07:38.4
ความเป็นจริงของเรานั้นมีการจัดระเบียบ มันมีความสม่ำเสมอและมีพลวัต มันสอดคล้องกัน แต่ภาพหลอนกับความฝันไม่มีสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นผมคิดว่าคุณไม่จำเป็นจะต้องยอมรับว่าภาพหลอนหรือความฝันต้องเป็นความจริง
07:38.5
07:49.8
ผมไม่มั่นใจเกี่ยวกับเรื่องนั้น แล้วผมก็คิดว่าแนวคิดจิตนิยมของบาร์คลีย์จะเข้าท่าก็ต่อเมื่อมีพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าเราเอาพระเจ้าออกไปจากแนวคิดจิตนิยมมันจะเกิดปัญหาขึ้นมามากมาย
07:49.9
08:00.5
บาร์คลีย์อ้างการมีอยู่ของพระเจ้าเพื่อสนับสนุนทฤษฎีนี้ เราไม่ควรคิดภายใต้สมมติฐานที่ว่าพระเจ้ามีอยู่จริงและรักษาระเบียบในความเป็นจริงทางจิตของเรา
08:00.6
08:02.5
นั่นสินะครับ
08:02.6
08:21.3
นอกจากนั้นจิตนิยมก็ยังมีช่องว่างให้เกิดความกังขาและเอกัตนิยม ถ้าเรายอมรับว่ามันไม่มีโลกวัตถุและความเป็นจริงในจิตของเรา แล้วอะไรจะห้ามไม่ให้คนๆหนึ่งพูดว่าทุกคนหรือจิตอื่นที่เขารับรู้ไม่ใช่เรื่องจริงแต่เป็นเพียงความคิดในจิตของเขาเท่านั้น
08:21.4
08:41.7
ถ้าความจริงทั้งหมดรวมไปถึงคนอื่นๆ เป็นเพียงแค่ความคิดในจิตของผม พวกเขาไม่มีอยู่จริงข้างนอกจิตของผม สำหรับผมแล้วนั่นหมายความว่าคุณ แม่ของผมพ่อของผม และทุกๆคนที่ผมเคยพบเป็นเพียงความคิดในจิตของผม ทุกคนไม่มีอยู่จริงนอกจิตของผม เหลือเพียงผมที่เป็นคนไม่รู้สึกตัวในความเป็นจริงนี้คนเดียว
08:41.8
08:51.3
ใช่แล้ว บางคนก็ตีความทฤษฎีนี้ถลำลึกไปอีก ถึงเอกัตนิยมจะน่าสนใจแต่เวลาของเราก็หมดแล้ว เราหวังว่าคุณจะสนุกกับรายการนี้และได้โปรดเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราเพื่อรับชมวิดีโออื่นๆได้ครับ